เราชอบอุดหนุนผลงานที่ดูแล้วมีความพยายามทำอะไรสักอย่าง ฟีลแบบการ์ตูนญี่ปุ่นสู้เพื่อฝันอะไรแบบนั้น ยืนเดี่ยวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ถึงความพยายามจะทำวงการ talk ให้มันเกิดให้ได้ แต่ต้องบอกตรงๆว่า แนวทางตลกของยืนเดี่ยวกับเรามันห่างกันจริงๆ ด้วยความที่เราเกิดและโตมากับยุคตลกคาเฟ่ มุกเหยียด มุกห่าม มุกด่าตบตี อะไรแบบนี้มันฝังอยู่ในเส้นเลือดแบบติดแน่นไปหมดแล้ว ตลกทางยืนเดี่ยว แนวใช้คำ มุกสถานการณ์ ตลกสมัยใหม่ หลายๆอย่างที่ดูแล้วเข้าใจนะว่าตรงไหนมันตลก แต่มันไม่โดนเส้นเราจริงๆ (เราแก่เกินมุกนั่นแหละ ยอมรับ) พยายามดูคลิปงานยืนเดี่ยวหลายๆคลิป เห็นคนดูหัวเราะกับครืนๆ แต่เราไม่ตลก ก็เข้าใจว่า อาจจะเพราะบรรยากาศที่ดูคนเดียว ไม่เหมือนตอนนั่งอยู่ในงาน ที่มันจะมีมวลความฮามากกว่า ในใจ ก็อยากลองเข้าไปอุดหนุนกันสักครั้ง แต่ก็พลาดมาตลอด เพราะไม่ได้ติดตามจริงจัง กว่าจะรู้ข่าวว่ามีงานเมื่อไหร่ งานก็จัดไปแล้วตลอด
แต่ล่าสุด เพื่อนมาชวน พร้อมบอกมีโปรส่วนลด ไปหนึ่งแถมหนึ่งด้วยนะ เอาวะ ลองดูสักครั้ง แต่ก็หวั่นๆใจ เพราะงานจัดซะไกล(ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์) แถมมืดอีกต่างหาก(1 ทุ่มมั้ง) กว่างานจะจบ คนไม่มีรถแบบเราคงกลับลำบาก แต่ก็เอาวะ ถึงไม่ได้ไป ก็คิดวะว่า ได้อุดหนุนผลงานเค้าละกัน เลยกดซื้อไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วข่าวดี พอเวลาใกล้ๆถึงวันงาน ก็มีประกาศ ย้ายสถานที่จัดมาอยู่ใกล้ๆ bts แถมเลื่อนเวลาจัดมาตอนบ่ายสอง ซึ่งโอ้โห เป็นใจกับเรามาก โคตรแฮปปี้
แต่จะเรียกว่าซวย หรือทำตัวเองดี พอถึงวันงานจริง เราดันเสือกนอนไม่หลับ กว่าจะนอนก็หกโมงเช้า แล้วตื่นแปดหรือเก้าโมงนี่แหละ ได้นอนไปประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนไปงาน เรียกได้ว่า สภาพร่างกายโคตรไม่พร้อม กลัวไปแล้วนั่งหลับๆตื่นๆในงาน คงทรมานมาก แต่เอาวะ นัดกับเพื่อนไว้แล้ว ไปก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ลุกกลับมาก่อน ภาวนาให้มันฮาตึ้ม ตึ้ม ตลอดงาน จนไม่ง่วงละกัน
พอถึงเวลาแสดงจริง คุณเอ (มั้ง จำชื่อไม่ได้) มาเปิดงาน ได้ดีเลย พูดเรื่องดนตรีเมทัล ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบ ทำให้เราอิน แล้วเพลินไปกับเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ถือว่า เปิดตัวได้สวย เริ่มใจชื้นว่าเอาวะ รอดแล้ว
ต่อมาถึงตาลินิน ตัวเองของงาน ก็มีการเล่าเรื่องการจัดงาน มุกแซะตัวเอง เล่าเรื่องการไปเที่ยวเวียดนาม เรียกเสียงฮาได้เรื่อยๆ แต่สำหรับเราคือเป็นเรื่องที่ฟังได้เพลินๆ เก้ตมุกนะ แต่ไม่โดนเส้นเรา เพราะตลกกันคนละทาง (เป็นปัญหาเฉพาะตัวนะ ไม่ใช่ว่าโชว์ไม่ดี) แต่ด้วยความที่เวทีใช้ไฟสลัว ยาวตั้งแต่ต้นจนจบ ประกอบกับเรื่องเล่าที่เราฟังได้เพลินๆ มันกลายเป็นเหมือนฟังนิทานก่อนนอน พอถึงช่วงประมาณตอนเข้าชั่วโมงที่สอง ที่พูดถึงธุรกิจกาแฟ ช่วงนั้นคือ เหมือนโดนข้าศึกที่เรียกว่าความง่วง บุกจู่โจมอย่างหนัก สติเริ่มหลุด ฟังประโยคหนึง อีกประโยคเริ่มไม่เข้าหัว ประโยคถัดมาได้ยินแต่เสียง แต่จับใจความอะไรไม่ได้เลย เลยต้องยุกยิกยุกยิกตลอดเวลา (กราบขอโทษคนที่นั่งข้างๆและข้างหลังด้วยถ้าทำให้รำคาญ) นาทีนั้นคือโคตรทรมานเลย เริ่มดูนาฬิกา กะเวลาว่าโชว์น่าจะประมาณสองชั่วโมง เริ่มภาวนาให้จบๆซักที มันง่วงจริงๆ แต่พอช่วงใกล้ๆจบ ก็มีมุกฮุคมาสองสามที เหมือนฟ้าประทานสิ่งนี้มาให้ (ช่วงมุกพี่แอนทองประสม) ทำให้มีสติกลับมาอีกครั้ง แล้วสุดท้ายก็เข้ามาสู่ช่วงรางวัลให้คนดู ซึ่งเราชอบช่วงนี้สุด ลินินเล่นกับคนดู มีการจิกกัด แซว (นี่แหละ วิถีทางคาเฟ่ที่เราชอบ) ช่วงนี้ หายง่วงเลย กลับมาตาสว่างอีกครั้ง จบท้ายด้วยการพูดขอบคุณคนดู แล้วก็แยกย้ายกลับ
สรุป เป็นโชว์ที่ดีสำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเรื่องเล่า ทางมุกแบบ standup comedy ที่ไม่ค่อยเข้าทางเรา ก็น่าจะโดนคนอื่นไม่น้อย เพราะเห็นหัวเราะกันตลอด แล้วก็ขอให้ลินินโชว์รอบหน้าทำได้ตามเป้า 1000 ใบนะ เอาใจช่วย
ปล. ถ้ารอบหน้าได้ดูโชว์ลินินอีก เราจะนอนไปให้เต็มอิ่ม จะได้รับสารให้เต็มที่มากกว่าวันนี้ กราบขอโทษคนที่นั่งรอบๆข้างอีกครั้ง
เห็นนั่งไม่นิ่ง ทีแรกก็คิดว่าคันตูด
ง่วง หายง่วงตอนน้องที่ได้กล่องกาแฟออกมาถ่ายรูปข้างหน้าเวที