ขอเขียนเก็บไว้หน่อย ก่อนที่จะลืมเป็นครั้งที่ 3
ก่อนอื่นขอยอมรับ ครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้ายว่าเป็นเด็กบ้านนอกครับ แถมแม่งจนด้วย
ตอนเด็กๆ ไม่มีอะไรให้เล่นมากนัก อยากได้หนังสือการ์ตูนซักเล่ม ก็ต้องขอพ่อแม่ ขอแล้วขออีก
อยากได้ของเล่นซักชิ้น ก็ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง ถึงจะได้
เกมส์กดนี่ โคตรอยากได้เลย ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก ยังไงก็ไม่ได้
จักรยานนี่กว่าจะได้ สอบได้ที่ 1 ไม่รู้กี่รอบ จนจบป.หก เพื่อนทั้งชั้นขี่กันไปไหนต่อไหนแล้ว เราพึ่งได้หัดขี่
ที่นอนก็นอนรวมกับพ่อกับแม่ กางมุ้งกันนอน เด็กก็ต้องนอนก่อน แล้วเค้าก็ยังไม่ปิดไฟ
วันไหนไม่ง่วง ไม่รุ้จะทำอะไร ก็นอนมองมุ้งครับ มองรอยยับที่เกิดจากการพับ นั่นแหละ แล้วก็นอนจินตนาการว่ามันเหมือนอะไร เหมือนคนที่มองเมฆแล้วคิดถึงนู้นนี่แหละครับ อารมณ์เดียวกัน
นอนมองมันอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่เด็กจนโต พอจบม. 6 เอ็นติด ต้องไปค้างที่มหาลัย นานๆครั้ง ถึงจะกลับมานอนที่บ้าน
ช่วงปีสามปีสี่นี่ ปิดเทอมทีหนึง ถึงจะกลับบ้าน ทั้งๆที่แปดริ้ว กับชลบุรีห่างกันนิดเดียว
ซักช่วงปีสี่มั้งครับ ก็นอนแล้วก็นึกขึ้นได้ ว่าเด็กๆ เรานอนมองรอยยับมุ้ง แล้วก็คิดว่ามันเป็นรูปนู้นรูปนี้
แล้วก็เลยลองนอนดูมันอีกรอบ แต่คราวนี้ เรานึกเป็นภาพอะไรแบบที่เราเห็นตอนเด็กไม่ออกครับ ทั้งๆที่มุ้งก็มุ้งอันเดิม ที่นอนก็ที่นอนเดิม
นั่นแหละครับ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า สูญเสียวัยเด็กไปแล้ว เฮ้ย เราไม่สามารถจินตนาการแบบตอนเด็กได้แล้วหรือนี่
ตอนนี้ก็เรียนจบ แล้วก็ทำงานมาร่วมสิบปีแล้ว ตะกี้เข้าไปนั่งขี้ แล้วอยู่ดีๆก็นึกขึ้นได้ เลยมองไปรอบๆตัวเองว่ามันมีอะไร ให้เราลองจินตนาการบ้างไหม
กลายเป็นว่า ตอนนี้ไม่มีรอยยับอะไรให้จินตนาการอีกแล้ว
นี่ตูเสียทุกอย่างไปสิ้นเชิงแล้วหรือวะเนี๊ยะ
จดไว้ก่อนละกัน แก่ไปกว่านี้ อาจจะลืมคำว่าจินตนาการไปเลยก็ได้
เขียนดีๆ ตอนเด็กๆคล้ายกันเลย ต้องไปยืนดูเพื่อนเล่นของเล่น
ขอบคุณที่ทำให้นึกขึ้นได้ เมื่อก่อนเวลาฝนตก เคยนั่งริมหน้าต่างกับพี่ แข่งกันเลือกมั่วๆว่าหยดน้ำของใครจะไหลลงข้างล่างก่อน กับช่วงเวลาที่ไปเก็บต้อยติ่งมาแช่น้ำ คิดถึงความสุขแบบง่ายๆอย่างงั้นจังเลยนะ : )